แบกเป้ ลากกระเป๋า ลุยเดี่ยว เที่ยวรอบอเมริกา กับ 7 เมืองใหญ่ สไตล์ยาจก ที่ไม่งกกับเรื่องเที่ยว (ตอนที่ 1)

สวัสดีค่ะ ยิ้ม
วันนี้เจ้าของกระทู้อยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ (และไม่ดี) จากการที่ได้เดินทางไปทำงานและท่องเที่ยวใน USA หรือเรียกง่ายๆ ว่า Work and Travel นั่นแหละค่ะ ต้องขอบอกก่อนเลยว่ากระทู้นี้จะไม่ขอเอ่ยถึงการทำงานนะคะ จะเน้นไปที่การท่องเที่ยวหลังจบงาน ไม่ใช่ว่างานที่ได้ไปทำไม่ดีนะคะ แต่ว่ามันดีมากๆ จนสุดๆ ไปเลยล่ะค่ะ เรียกได้ว่ามีโชคช่วยพอสมควร เลยได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งก่อนที่จะมาก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปเที่ยวรัฐไหนบ้าง แต่มันแบบว่าเกินคาดได้เที่ยวอยู่เกือบหนึ่งเดือนเต็ม (ไม่กล้าอยู่จนครบกำหนดวีซ่า กลัวมีปัญหาภายหลังน่ะค่ะ แหะๆ)



การเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้เป็นเที่ยวคนเดียวค่ะ บุกเดี่ยว เน้นประหยัด ขนส่งสาธารณะเป็นหลัก เดินเป็นรอง แท็กซี่ไม่ต้องถามหา ไม่คิดจะใช้บริการค่ะ ที่พักไม่ต้องพูดถึง นอนสนามบินเป็นว่าเล่นค่ะ สร้างบ้านในสนามบินได้คงทำไปแล้ว 5555 แต่ก็ใช่ว่าจะไม่พักในโรงแรมเลยนะคะ และรายละเอียดของแต่ละที่คือแบบเยอะมากๆ อาจจะเขียนยาวไปหน่อย แต่เชื่อว่าต้องเป็นประโยชน์มากแน่ๆ ค่ะ สำหรับเมืองที่เจ้าของกระทู้ได้เดินทางไปก็จะมี
- Orlando, Florida
- Miami, Florida
- New York City, New York
- Las Vegas, Nevada
- Grand Canyon, Arizona
- San Francisco, California
- Los Angeles, California

การเตรียมตัวก่อนเดินทาง
พอไปถึงสหรัฐอเมริกาและได้เริ่มงานได้สักเดือนหนึ่งแล้ว แนะนำว่าให้ลองคำนวณดูเลยว่าหลังจบงานเราจะมีเงินประมาณเท่าไหร่ จะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ลองเช็คราคาที่พักและตั๋วเครื่องบิน ให้เทียบจากหลายๆ เว็บไซต์ และการจองที่พักนั้นต้องดูว่าไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวที่เราจะไปมากแค่ไหน ถ้าจะไปที่นั่นต้องเดินทางไปอย่างไรจากที่พักค่ะ โดยใช้ Google Map บอกเลยว่าเชื่อถือได้ และอย่าลืมหมั่นอัพเดทแอพพลิเคชั่นด้วยนะคะ ทุกครั้งที่เดินทางให้นึกถึง Google Map เสมอนะ ที่สำคัญคือพยายามจองล่วงหน้าให้เรียบร้อย

สำหรับข้าวของและอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการเดินทางแบบประหยัดในครั้งนี้ เจ้าของกระทู้ได้เตรียมมาม่าแพ็คใส่กระเป๋าเดินทางไว้เป็นอย่างดี เหมือนตอนที่เดินทางจากไทยมาที่นี่เลยก็ว่าได้ค่ะ 5555 เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อมีมาม่าแล้วก็ต้องมีกล่องข้าวด้วย เอาที่เป็นพลาสติกเบอร์ 5 สามารถเข้าไมโครเวฟได้นะคะ ช้อนส้อมก็ห้ามลืมเด็ดขาด ครีมกันแดดก็สำคัญ ยิ่งช่วงซัมเมอร์ที่เจ้าของกระทู้ไปมานี่ร้อนแบบสุดๆ แนะนำให้ซื้อแบบสเปรย์ เพราะต้องฉีดกันทั้งวันเลยทีเดียวถ้าไม่อยากดำ พาวเวอร์แบ้งค์ก็สำคัญอีกไม่แพ้กันค่ะ จำเป็นมากๆ เลย และที่สำคัญที่สุดคือ Smart Phone ที่ควรเปิดเบอร์เมกาไว้ และต้องมีโปรเนตด้วยนะ สำคัญมากๆ ตอนจะหาเส้นทางไปที่ไหนแต่ละที่ อินเตอร์เน็ตนี่แหละคือคำตอบค่ะ และสิ่งสุดท้าย เอกสารการจองที่พัก ตั๋วเครื่องบิน ใบจองทัวร์ต่างๆ ถ้าสามารถปริ้นท์เป็นใบเก็บไว้ได้จะเยี่ยมมากเลยค่ะ

แนะนำเรื่องการจัดทำแผนทัวร์
1. ลิสต์รายการสถานที่ท่องเที่ยวและรัฐที่อยากจะไป สถานที่ท่องเที่ยวบางที่ต้องเสียค่าเข้า ให้เช็คดูว่าซื้อล่วงหน้ากับซื้อหน้าเค้าท์เตอร์อะไรถูกกว่า มีโปรโมชั่นอะไรอยู่บ้าง เผื่อจะได้ส่วนลดค่ะ และต้องดูว่าที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ห่างกันมากมั้ย เดินทางไปโดยรถเมล์ได้หรือเปล่า จะใช้เวลาเที่ยวชมนานเท่าไหร่
2. ลองคิดดูว่าควรอยู่รัฐนั้นๆ กี่วัน กี่คืน ซึ่งวันสุดท้ายของรัฐนั้นๆ (คืนที่นอนสนามบินเพื่อรอบินเช้า) เจ้าของกระทู้มักจะเช็คเอ้าท์แล้วฝากกระเป๋าเดินทางไว้กับโรงแรมแล้วออกไปเที่ยวค่ะ ค่อยกลับมาเอาอีกทีตอนเย็นนู่นแน่ะ
3. เช็คราคาตั๋วเครื่องบิน รถทัวร์ รถไฟ อะไรถูก คุ้มค่า และสะดวก ในการเดินทางไปเมืองนั้นๆ มากกว่ากัน สำหรับเจ้าของกระทู้นั้น จะเลือกเครื่องบินค่ะ สำหรับสายการบิน South West สามารถโหลดกระเป๋าฟรีได้ 2 ใบ แต่มันมักจะบินไปลงสนามบินเล็กๆ ซะส่วนใหญ่ ดังนั้นต้องเช็คชื่อสนามบินให้ดีนะคะ และส่วนใหญ่ไฟลท์ที่ราคาถูกมักจะเป็นไฟลท์แรกของวัน คือไฟลท์เช้ามืด เจ้าของกระทู้เลยมักที่จะไปสนามบินล่วงหน้าตั้งแต่เย็นวันก่อนบิน เพื่อที่จะได้ประหยัดราคาที่พักและไม่ต้องกลัวตกเครื่อง เรียกได้ว่านอนสนามบินทุกครั้งก่อนจะบินเปลี่ยนรัฐแต่ละที 5555
ปล. ถ้าอยากจะจอง South West ต้องเข้าไปในเว็บไซต์ของมันเท่านั้นนะคะ และสามารถเช็คอินล่วงหน้าได้ 24 ชั่วโมง ยิ่งเช็คอินเร็วเท่าไหร่เราก็จะได้ลำดับการบอร์ดดิ้งเร็วขึ้นเท่านั้น สายการบินนี้จะไม่มีการให้เลือกที่นั่งตอนซื้อตั๋วหรือตอนเช็คอิน แต่จะได้เลือกที่นั่งตอนเข้าไปถึงในเครื่องแล้วค่ะ ดังนั้นคิวการบอร์ดดิ้งคือสำคัญมาก
4. เช็คราคาที่พัก โลเคชั่นต้องไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยว และสามารถเดินทางมาได้จากสนามบินโดยรถเมล์ ซึ่งใน Google Map มักจะระบุราคารถเมล์ไว้ว่าราคากี่เหรียญ ที่สำคัญคือต้องดูเวลาเช็คอิน ว่าสามารถเช็คอินได้ตอนกี่โมง ถ้าเผลอลืมไปเช็คอินล่วงหน้าระวังจะเสียค่าบริการเพิ่ม และเมื่อเช็คอินแล้ว บางโรงแรมจะมีการเก็บค่าประกัน เท่าไหร่ก็ว่าไป เมื่อเช็คเอ้าท์แล้วก็จะได้คืน ถ้าเราไม่ได้ทำผิดกฎระเบียบอะไร สำหรับที่พักก็มีให้เลือกหลายแบบ แต่เจ้าของกระทู้เลือกพักอยู่สองแบบค่ะ คือ Hotel และ Hostel ซึ่งเราก็ต้องคำนวณดูว่า ราคาต่อคืนต่อผู้เข้าพักของทั้งสองแบบนั้นอะไรคุ้มกว่า บางที่ก็ฟรีอาหารเช้า บางที่ก็ไม่ แต่เราไม่กลัวเพราะมีมาม่าอยู่ค่ะ 5555
ปล. บางคนสงสัยว่าที่พักแบบ Hostel คืออะไร มันคือที่พักแบบนอนหลายคนต่อห้อง ยิ่งนอนได้หลายคนยิ่งถูก จะเป็นเตียงสองชั้นค่ะ สำหรับมุมมองของเจ้าของกระทู้นั้นคิดว่า การพัก Hotel ก็ได้ความสะดวกสบายดีมากๆ เพราะนอนคนเดียว และการพัก Hostel ก็ทำให้เราได้พบเพื่อนใหม่ๆ สนุก และไม่เงียบเหงาค่ะ อันนี้คือข้อดีส่วนข้อเสียมองข้ามมันไป สุดท้ายจะได้พักที่พักแบบไหนนั้นขึ้นอยู่กับราคาเป็นหลักค่ะ
5. ในการเช็คราคาที่พักและตั๋วเครื่องบินนั้น แนะนำให้เข้าไปดูหลายๆ เว็บไซต์ แม้ว่าจะเป็นเว็บที่เราไม่เคยพบเจอก็ตาม เพราะบางครั้งเราอาจได้ราคาที่ถูกกว่า และในการกดชำระเงินนั้น มันจะมีให้เลือกจ่ายอยู่หลายแบบ ต้องอ่านดีๆ มันจะมี จ่ายล่วงหน้าทั้งหมดรวมค่าประกัน จ่ายล่วงหน้าทั้งหมดแต่ไม่รวมค่าประกัน จ่ายเมื่อเช็คอิน (จ่ายเมื่อไปถึง) หรือ จ่ายแต่ค่าประกัน แนะนำให้จ่ายทุกอย่างล่วงหน้าทั้งหมดค่ะ ถ้าสามารถกดจ่ายได้
6. เมื่อเราทราบแล้วว่าแต่ละที่ต้องใช้เวลาเที่ยวนานแค่ไหน ไฟลท์บินถูกๆ มีวันเวลาไหน ก็เอาทุกอย่างมารวมกันค่ะ ไล่วันที่มาเรื่อยๆ ประมาณว่า วันที่เท่านี้นอนโรงแรมนี้ วันที่เท่านี้นอนสนามบิน วันที่เท่านี้ไปเที่ยวนี่ วันที่เท่านั้นไปเที่ยวนู่น หรือถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะไปทำหรือเที่ยวชมอะไร (แต่ต้องมีในใจบ้างแล้วนะ แล้วค่อยไปลงรายละเอียดอีกทีหลัง) อาจจะใช้ว่าคำว่า NY Sightseeing Day 1 ก็ได้ค่ะ ง่ายดี
7. หมายเหตุ รายการทัวร์อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม อันนี้คืออยากบอกให้ทราบค่ะ เพราะมันเกิดขึ้นจริงๆ โดยไม่ตั้งใจ เช่น ฝนตก หลงทาง เจออะไรที่เด็ดกว่า เป็นต้น และสิ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้การเที่ยวคนเดียวมันสนุกมากๆ อาจจะมีเครียดบ้าง เหงาบ้าง คิดถึงบ้านบ้าง บ่นคนเดียวบ้าง แต่เราก็จะผ่านมันมาได้ กลับมานั่งคิดอีกทีก็จะตลกตัวเองค่ะ จะตกใจ เห้ย! เราผ่านสถานการณ์แบบนั้นมาได้ไง เอาตัวรอดได้โดยไม่รู้ตัว สัญชาตญาณของมนุษย์ล้วนๆ 5555

**เพิ่มเติม**
การจองโรงแรมในที่สุดท้ายก่อนออกจากอเมริกา แนะนำให้เลือกที่พักที่จ่าย Deposit เป็นเงินสดนะคะ จะได้ง่ายต่อการคืนเงิน เพราะเราต้องปิดบัญชีธนาคารก่อนออกจากประเทศ ถ้าเป็นโรงแรมที่จ่ายโดยบัตร มักจะโอนคืนภายหลังวันเช็คเอ้าท์แล้วประมาณ 1 สัปดาห์ หรือเร็วกว่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่สามารถรอได้ อย่าลืมกันน้าาา



เอาล่ะค่ะ เกริ่นมาอย่างยาว อย่าเพิ่งขี้เกียจอ่านกันนะ
เมื่อเราเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว อย่าลืมเตรียมใจด้วยนะ
ผูกเชือกรองเท้าแน่นๆ สะพายเป้ขึ้นหลัง เอากล้องมาคล้องคอ
มือซ้ายถือโทรศัพท์ มือขวาลากกระเป๋าใบโต แล้วออกเดินทางกันเลยยยยย!

Orlando, Florida
Highlights: 2 Days at The Walt Disney World and 1 Day at The Universal Studio
Hotel: Continental Plaza Hotel Orlando

เจ้าของกระทู้บินไปลงที่สนามบิน MCO ก้าวแรกที่ลงจากเครื่องตื่นเต้นมากๆ นี่เราจะเที่ยวคนเดียวจริงๆ หรือ แอบหวาดกลัวผู้คนเอามากๆ จริงๆ ตื่นเต้นตั้งแต่ที่เครื่อง Take Off แล้วล่ะค่ะ 5555 ลืมบอกไปค่ะ ได้บินไฟลท์เช้ามืด ก็เลยได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นบนเครื่องค่ะ ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี เที่ยวคนเดียวต้องรู้จักให้กำลังใจตัวเอง และต้องรู้จักคิดอย่างรอบด้านอย่างรอบคอบด้วยค่ะ ระหว่างรอรับกระเป๋าเราก็เสิจดูว่าต้องขึ้นรถเมล์สายไหนเพื่อไปโรงแรม พอเสิจเท่านั้นแหละความตกใจก็เกิดขึ้นค่ะ Google Map มันขึ้นว่าเราต้องนั่งหลายต่อเพื่อไปให้ถึงโรงแรม สติแตกไปหนึ่งนาทีได้ค่ะ เงยหน้าขึ้นมา กระเป๋ามาแล้ว เลยไปรับกระเป๋าก่อน แล้วมานั่งเก้าอี้เรียกสติ ตอนนั้นตัดสินใจโทรหาโรงแรม จึงได้คำตอบว่ามีสาย 42 วิ่งตรงถึงเลยค่ะ ตัวเองเลยทำการเสิจใหม่อีกรอบ แต่รอบนี้ได้ลองเสิจว่า From: Orlando Airport To: Continental Plaza Hotel Orlando เท่านั้นแหละ สาย 42 ก็เด้งขึ้นมาให้เลือกทันที บทเรียนจากครั้งนี้ คือ ห้ามใช้ From your location ค่ะ และด้วยความมั่นใจอีกครั้งจึงก้าวออกไปนอกประตูเพื่อมองหาชานชาลาเพื่อรอรถ ปรากฏว่าไม่มีอีกแล้วค่ะ จึงเดินย้อนกลับเข้ามาด้านในแล้วถามเจ้าหน้าที่ว่าฉันสามารถไปขึ้นรถสายนี้ได้ที่ไหน และแล้วก็ถึงบางอ้ออีกครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่ตอบกลับมาว่าคุณต้องไป Terminal A แล้วคุณสามารถรอรถสายนี้ได้ที่ชานชาลา ... (จำไม่ได้แล้วค่ะ แต่มันจะมีป้ายบอก 5555)



เมื่อรถมาจอดเทียบชานชาลาแล้ว ได้เวลาขึ้นรถค่ะ เตรียมค่าโดยสารให้พร้อม รถเมล์ที่นู่นจะมีตู้ให้ใส่เงิน โดยจะมีทั้งช่องใส่ธนบัตรและใส่เหรียญ แนะนำให้เตรียมไว้ให้พอดี ที่ตู้ก็จะมีราคาค่าโดยสารบอกไว้ ถ้าไม่มั่นใจสามารถถามพนักงานขับรถได้ค่ะ ตามมารยาทแล้วเราจะขึ้นรถประตูหน้า ลงรถประตูหลัง แต่ว่าเรามีกระเป๋าเดินทางมาด้วยสามารถลงประตูหน้าได้ค่ะ คนขับจะโหลดรถให้ต่ำลงอีกนิดค่ะ แล้วก็ถ้าจะเที่ยวคนเดียวแนะนำให้พกกระเป๋าเดินทางแค่ใบใหญ่ใบเดียวก็พอนะคะ เมื่อรถออกเดินทาง อย่ารอช้า รีบเปิด Map อีกครั้งว่ามันวิ่งตามเส้นทางหรือไม่ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าใกล้ถึงแล้ว??? ไม่ต้องกังวลค่ะ ใน Map มันจะบอกว่าเราต้องไปลงป้ายไหน ต้องนั่งกี่ Stops รถเมล์ที่เมกาจะจอดตามแยกค่ะ ดังนั้นชื่อป้ายมันก็จะเป็นชื่อถนน A and ชื่อถนน B ไม่ต้องกลัวเลยป้ายอีกเช่นกันค่ะ เพราะรถเมล์มันจะมีระบบของมันคอยประกาศว่าจะถึงป้ายไหนแล้ว เช่น Next stop …, Now approaching … พอเราได้ยินชื่อป้ายที่เราจะลงก็ให้เราดึงสายที่อยู่ด้านข้างหน้าต่าง (ลักษณะของสายที่ว่าจะมีขนาดเส้นเท่าไม้แขวนเสื้อค่ะ) ให้เราดึงลงให้ได้ยินเสียง “ตึ๊ง” แล้วมันก็จะพูดอีกว่า Please watch your steps บลาๆๆ เสียงประกาศออโต้มันจะเป็นเสียงผู้ชายค่ะ ใหญ่ๆ ฟังครั้งแรกแล้วรู้สึกแปลกๆ ค่ะ ไม่ชิน เพราะบ้านเราเป็นเสียงผู้หญิงนุ่มๆ ระหว่างนั่งรถก็มองทาง ชมวิว ไปเรื่อยๆ ค่ะ และเราต้องมีสีหน้าที่มั่นใจว่า “เราไม่ได้หลงทาง” คือ ทำตัวเหมือนรู้ทางอยู่ตลอดเวลาอ่ะค่ะ 5555 อันนี้คือนิสัยที่ไม่ดีนะ ถ้าไม่รู้ทางต้องถาม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ชีวิตในต่างแดน คนไทยในอเมริกา Work & Travel
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่